วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

ดูแลรถหลังน้ำท่วม
ในช่วงนี้ที่น้ำท่วม ตลาดรถเช่า.com บริการรถเช่าราคาถูกระหว่างรถของท่านซ่อมอยู่ นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับดีๆ สำหรับการเตรียมความพร้อมก่อนน้ำท่วม รวมถึงให้เทคนิคง่ายๆ ในการดูแลรักษารถยนต์หลังผ่านช่วงวิกฤติน้ำท่วมนี้






ปฏิบัติตัวอย่างไร...เมื่อน้ำท่วม

ตลาดรถเช่า.com ขอแนะนำ สำรวจเส้นทางก่อนการเดินทางให้ดี หากหลีกเลี่ยงได้ ควรขับรถอ้อมเส้นทางปกติที่มีน้ำท่วมขัง  แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริงๆ การขับรถผ่านพื้นที่ที่มีน้ำท่วม มีข้อควรปฎิบัติ ดังนี้

1. ปิดแอร์  เพราะการปิดแอร์จะทำให้พัดลมระบายความร้อนจากแอร์หยุดทำงาน หากระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์จุดอื่นไม่สมบูรณ์จะส่งผลเสียหายต่อเครื่องยนต์ได้
2. ใช้เกียร์ต่ำ แนะนำให้ใช้เกียร์ 2 สำหรับรถยนต์ทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ (หรือเกียร์ L สำหรับเกียร์ออโต้บางรุ่น) ค่อยๆ ขับรถช้าๆ อย่าเหยียบเบรก หรือเร่งความเร็วโดยไม่จำเป็น
3. ค่อยๆ เบรก ซ้ำๆ บ่อยๆ เมื่อพ้นจากพื้นที่น้ำท่วมขังแล้ว สิ่งอันตรายคือ "เบรกลื่น" วิธีการง่ายๆ ที่จะแก้ไขได้ คือ ค่อยๆ เหยียบเบรก เหยียบย้ำๆ เบาๆ แต่ทำบ่อยๆ


สิ่งทีควรทำ...หลังจากน้ำท่วม

เมื่อระดับน้ำเริ่มลด สิ่งที่เจ้าของรถต้องตรวจสอบ  คือ "รถจะเป็นอย่างไรบ้าง?

1. เปิดประตูและกระจกออกให้กว้าง เพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก และมีอากาศถ่ายเทได้อย่างดีที่สุด เพื่อป้องกันกลิ่นอับชื้น
2. อย่าสตาร์ทรถทันที แนะนำให้เปิดฝากระโปรงรถ เพื่อสำรวจให้มั่นใจว่าไม่มีเศษอะไรมาติดอยู่ในตัวเครื่องยนต์
3. หากไม่มั่นใจ แนะนำให้นำรถเข้าศูนย์บริการโดยใช้รถยก เพื่อป้องความเสียหายที่ไม่คาดคิดได้
4. อย่าพ่วงไฟ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่มีระบบไฟฟ้าลัดวงจรที่จะก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบเครื่องยนต์ และระบบไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
5. ทำความสะอาดรถยนต์ โดยเฉพาะภายใน แนะนำให้ทำความสะอาดภายในรถยนต์อย่างละเอียด ตั้งแต่การถอดพรมปูพื้น การซักทำความสะอาดเบาะ
6. นำรถเข้าศูนย์ให้เร็วที่สุด ให้ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียด รวมถึงการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาแอร์ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเฟืองท้าย
รวมถึงน้ำมันรถในถัง ที่อาจจะเกิดการเสื่อมคุณภาพจากการถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลานานอีกด้วย

หลากหลายเคล็ดลับดีๆ นี้เพื่อป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งมิอาจเลี่ยงได้ แต่อย่างน้อยก็อาจจะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ ถ้าท่านคิดจะเช่ารถ คิดถึง ตลาดรถเช่า.com

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

ระบบเบรค
ระบบเบรกรถยนต์ในบัจจุบันเป็นแบบไฮโดรลิก  แบ่งออกเป็น  2  แบบ  คือ  แบบดรัมเบรก  และแบบดิสเบรก  ระบบเบรก  ทั้งสองระบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย  ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ได้มีการพัฒนาปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา  เพื่อให้การใช้งานตรงกับความต้องการของผู้ใช้รถมากที่สุด


ระบบเบรค

1.  ระบบเบรกแบบดรัมเบรก (Drum Brake)
ดรัมเบรกจะติดตั้งแน่นกับลูกล้อ  เบรกจะทำงานเมื่อมีการถ่างก้ามเบรกให้เสียดสีกับตัวเบรกซึ่งครัมเบรกจะทำให้ล้อหยุด  ดรัมเบรกใช้มากในรถบรรทุกทั้งขนาดใหญ่และเล็ก  รวมทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลบางรุ่น  รถบางรุ่นอาจใช้ระบบนี้เฉพาะล้อหลัง

ข้อดี    มีความสามารถในการหยุดรถได้เร็ว  เพราะก้ามเบรกและดรัมเบรกถูกยึดติดกับดุมล้อ  เมื่อเหยียบเบรก  คนขับใช้แรงกดดันเบรกน้อย  รถบางรุ่นไม่จำเป็นต้องใช้หม้อลมเบรกช่วยในการเบรก
ข้อเสีย  ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสี  ระหว่างผ้าเบรกในดรัมเบรกนั้น  ไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี  บางครั้งทำให้ผ้า   เบรกมีอุณหภูมิสูง   มากมีผลทำให้ประสิทธิภาพการเบรกลดลง

2.  ระบบเบรกแบบดิสก์เบรก (Disc  Brake)
เป็นระบบเบรกระบบใหม่ที่นิยมกันมาก  เบรกจะทำงานโดยดันผ้าเบรกให้สัมผัสกับจานเบรกเพื่อให้รถหยุด  รถยนต์บางรุ่นใช้ดิสก์เบรกทั้ง  4  ล้อ บางรุ่นใช้เฉพาะล้อหน้า

ข้อดี     ลดอาการเฟด (เบรกหาย)  เนื่องจากอากาศได้เทความร้อนได้ดีกว่าดรัมเบรก  นอกจากนั้นเมื่อเบรกเปียกน้ำผ้าเบรก จะสลัดน้ำออกจาก ระบบได้ดี  ในขณะที่ดรัมเบรกน้ำจะขังอยู่ภายใน  และใช้เวลาถ่ายเทค่อนข้างช้า
ข้อเสีย  ไม่มีระบบ  Servo  action  หรือ  multiplying  action  เหมือนกับดรัมเบรก  ผู้ขับจึงต้องออกแรงมากกว่า จึงต้องใช้ระบบเพิ่มกำลัง  เพื่อเป็นการผ่อนแรงขณะเหยียบเบรกทำให้ระบบดิสเบรกมีราคาค่อนข้างแพงกว่าดรัมเบรก

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

ประเภทของโช้คอัพ
โช้คอัพเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยรองรับแรงกระแทกและลดแรงสั่นสะเทือนของตัวรถ และยังทำหน้าที่หน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวถังรถยนต์ เพื่อให้ล้อสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลาขณะที่รถวิ่ง โช้คอัพที่มีคุณภาพสูง จะช่วยลดการเสียดสี และการสึกหรอของยาง ตลอดจนช่วยลดการสึกหรอของอะไหล่ที่เกี่ยวกับช่วงล่างโดยเฉพาะ เช่นลูกหมาก บูชยาง และระบบกันสะเทือนต่างๆ นอกจากนี้ โช๊คอัพ ยังช่วยให้รถยนต์เกาะถนนได้ดีขณะเข้าโค้ง
ประเภทของโช้คอัพ
ประเภทของโช้คอัพ

ประเภทของโช้คอัพ 
1. โช้คอัพแบ่งตามโครงสร้างของกระบอก
• โช้คอัพกระบอกเดี่ยว (Mono Tube) 
• โช้คอัพกระบอกคู่ (Double Tube) 
2. 
โช้คอัพแบ่งตามลักษณะการทำงาน
• โช้คอัพทำงานจังหวะเดียว 
• โช้คอัพทำงานสองจังหวัด 
• โช้คอัพน้ำมัน จะใช้น้ำมันไฮดรอลิคส์เป็นตัวกลางทำงานเพียงอย่างเดียว 
• โช้คอัพแก๊ส โช้คอัพชนิดนี้บรรจุน้ำมันไอดรอลิกส์ และแก๊สไนโตรเจนเข้าไปภายในกระบอกโช้คอัพ 
3. 
โช้คอัพแบ่งตามคุณสมบัติ
• โช้คอัพน้ำมัน โช้คอัพชนิดนี้ใช้น้ำมันไฮดรอลิคเป็นตัวทำงานให้เกิดความหนืดเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ทำงานน้ำมันไฮดรอลิค จะไหลผ่านวาล์วภายในลูกสูบจึงทำให้เกิดฟองอากาศขึ้นภายในน้ำมันไฮดรอลิค ฟองอากาศของน้ำมันจะทำให้โช้คอัพทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะกับรถที่ต้องใช้ความเร็วสูง เพราะถ้าฟองอากาศแตกจะทำให้โช้คอัพเกิดการขาดช่วงการทำงานในช่วงสั้นๆ 
• โช้คอัพแก๊ส คือ โช้คอัพที่อาศัยการทำงานร่วมกัน ระหว่างแก๊สไนโตรเจน และ น้ำมันไฮดรอลิค มีหลักการทำงานคือ เมื่อโช้คอัพได้รับแรงสะเทือนจากพื้นถนน ลูกสูบของโช้คอัพ จะเลื่อนตัวลงมาด้านล่างของกระบอกลูกสูบ ทำให้น้ำมันไฮดรอลิคที่บรรจุในกระบอกสูบ ไหลผ่านวาล์วขึ้นไปห้องน้ำมันด้านบน และน้ำมันอีกส่วนไหลผ่านวาลว์ ด้านล่างเข้าไปในห้องน้ำมันสำรอง ขณะเดียวกันน้ำมันในห้องน้ำมันสำรอง จะทำการอัดแก๊สไนโตรเจนให้เกิดแรงดัน เมื่อแก๊สมีแรงดัน ก็จะดันน้ำมันไฮโดรลิคที่อยู่ในห้องน้ำมันสำรอง กลับเข้าสู่กระบอกสูบดังเดิมโดยในขณะเดียวกัน แรงดันที่เกิดขึ้นก็จะทำให้ฟองอากาศแตกตัว



ประเภทของโช้คอัพก็ได้แบ่งตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ขอให้คุณเลือกใช้โช้คอัพให้เหมาะสม

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง
ในการทำงานของเครื่องยนต์ น้ำมันเครื่องถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นเสมือนตัวช่วยหล่อลื่น ลดการเสียดสีให้กับชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ที่เคลื่อนไหว ไม่ให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับน้ำมันเครื่องที่นำมาใช้กับยานยนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรถรุ่นใหม่ๆ ที่มีเทคโนโลยี่การผลิตเครื่องยนต์ที่ทันสมัย มีขนาดเครื่องยนต์ที่เล็กลง มีความเร็วรอบที่สูงขึ้น รวมถึงรถบางคันที่ปรับแต่งเพิ่มความแรงให้กับเครื่องยนต์ ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับน้ำมันเครื่องเป็นพิเศษ

การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง
การเลือกใช้น้ำมันเครื่อง


การเลือกใช้น้ำมันเครื่องเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ตอบสนองการใช้งานได้เป็นอย่างดีนั้น ต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้เป็นอย่างยิ่ง

  1. ชนิดของเครื่องยนต์ เป็นเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล เป็นเครื่องที่มีตัวช่วยอัดอากาศ เช่น เทอร์โบ หรือไม่
  2. คุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ใช้หล่อลื่น ต้องมีคุณสมบัติดี ในด้านการหล่อลื่น,  ลดการเสียดสีและการสึกหรอได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และคุณสมบัติอื่นๆ ที่จำเป็น เช่น สารเพิ่มดัชนีความหนืด สารต้านทานการรวมตัวกับออกซิเจน สารชะล้างและกระจายคราบเขม่า เป็นต้น เพราะเครื่องยนต์ต้องทำงานในสภาพใช้ความเร็วสูง, รอบการทำงานของเครื่องยนต์สูง และมีอุณหภูมิขณะใช้งานที่สูง
  3. ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่ใช้ จะต้องเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดเหมาะสมกับสภาพของเครื่องยนต์และสภาพการใช้งานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ผลิตเครื่องยนต์จะแนะนำ ชนิด ความหนืด และคุณภาพของน้ำมันเครื่องมาในคู่มือประจำรถอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับแต่งเครื่องยนต์ หรือเครื่องยนต์ถูกใช้งานมานาน (เครื่องยนต์หลวม) ควรพิจารณาชนิด ความหนืด และคุณภาพของน้ำมันเครื่องเป็นพิเศษด้วย

มาตรฐานน้ำมันเครื่อง

  1. มาตรฐานของสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ (Society of Automotive Engineer : SAE) ใช้ระบุความหนืด (ความข้นใส) ของน้ำมันเครื่อง ค่ายิ่งมากก็ยิ่งมีความหนืดมาก โดยแบ่งน้ำมันเครื่องออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
    • เกรดเดียว (monograde) คือน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดค่าเดียว เช่น SAE 40 หมายความว่า ณ อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสน้ำมันจะมีค่าความหนืดอยู่ที่ เบอร์ 40
    • เกรดรวม (multigrade) คือน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืด 2 ค่า เช่น SAE 20W-50 หมายความว่า ในอุณหภูมิ -25 องศาเซลเซียส น้ำมันจะมีค่าความหนืดอยู่ที่ เบอร์ 20 แต่เมื่ออุณหภูมิสูงถึง 100 องศาเซลเซียส จะเปลี่ยนค่าความหนืดเป็น เบอร์ 50
    • อักษร "W" ใช้เป็นตัวบ่งบอกว่าค่าความหนืดนี้เป็นเกรดฤดูหนาว (วัดที่ -25 องศาเซลเซียส) หากไม่มีจะเป็นเกรดฤดูร้อน (วัดที่ 100 องศาเซลเซียส)
  2. มาตรฐานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (The American Petroleum Institute : API) ใช้ระบุประเภทของเครื่องยนต์ และสมรรถนะในการปกป้องชิ้นส่วนของเครื่องยนต์                                                                    

  • น้ำมันเครื่องหล่อลื่นเครื่องยนต์เบนซิน เรียกว่า S หรือ Servic Station Classification จะเรียงไปตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยมีตัว S นำหน้า เช่น SA SB SC … SF SG ปัจจุบันมีถึง SM ซึ่งเป็นค่าสูงสุดในขณะนี้
  • น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ดีเซล เรียกว่า C หรือ Commercial ก็จะเหมือนกับเครื่องยนต์เบนซิน คือเรียงตามตัวอักษรภาษาอังกฤษ มีตัว C นำหน้า คือ CA CB CC CD CE CF-4 ปัจจุบันมีถึง CI ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดในปัจจุบัน
การเลือกใช้น้ำมันเครื่องจึงมีความสำคัญมาก โปรดเลือกใช้น้ำมันเครื่องให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์มากที่สุด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการปกป้องคุ้มครองเครื่องยนต์ของยานยนต์ทุกคัน




เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องที่เปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะทาง (หรือเวลา) ที่กำหนดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งก็เปรียบเสมือนการคืนความสดชื่นให้กับเครื่องยนต์ยังไงยังงั้น ว่าแต่เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง


เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนที่น้ำมันเครื่องจะหมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพแต่ระยะเวลาหรือระยะทางเท่าไรนั้นควนปฏิบัติตามคู่มือประจำรถ ซึ่งอาจดูที่ไฟเตือนให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องออยล์เซอร์วิส (oil service) ที่หน้าปัดบอกว่าถึงเวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องได้แล้ว เพราะรถวิ่งใช้งานมาเกือบจะถึง 10,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องมันเก่า คุณสมบัติในการหล่อลื่นลดลง อันจะทำให้เครื่องสึกหรอหรือเครื่องหลวมเร็วขึ้น หรือบางทีมีสิ่งสกปรกมากอาจทำให้ไส้กรองตันการไหลของน้ำมันหล่อลื่นจะไม่สะดวก แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับรถที่ใช้งานหนักก็ควรที่จะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้เร็วกว่าปกติ สภาพการทำงานของเครื่องยนต์ที่เข้าข่ายใช้งานหนักและควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยกว่าปกติมีดังนี้

เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
  • ใช้งานในที่ๆมีฝุ่นหรือทรายมากเช่นรถที่ใช้งานในไร่หรือรถประเภท OFF ROAD
  • ใช้ในที่ที่มีการจราจรติดขัดเครื่องยนต์เดินเบาเป็นเวลานานๆ เพราะการที่เครื่องยนต์เดินเบาอยู่นั้นการเผาไหม้จะไม่สมบูรณ์ จะเกิดเขม่าขึ้นในเครื่องยนต์
  • ใช้ลากจูง หรือขับขึ้งทางชันบ่อยๆ ใครมีบ้านอยู่บนภูเขาก็เปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยๆหน่อยนะครับ
  • บรรทุกน้ำหนักมากตลอดเวลา
  • เครื่องยนต์ทำงานที่อุณภูมิสูงๆบ่อยๆ
  • ใช้ความเร็วสูงเป็นเวลานานๆอันนี้คงเข้าข่ายพวกเราที่ชอบความเร็วและการแข่งขันรถยนต์ที่ใช้รอบเครื่องยนต์สูง
  • ใช้ในที่อากาศเย็นจัด ( อันนี้คงไม่เกิดขึ้นในบ้านเรา )
นอกจากนี้การเดินทางในเมืองที่ใช้ระยะทางแต่ละวันค่อนข้างสั้นและใช้แต่ความเร็วต่ำ  ก็จะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วกว่าการขับรถบนถนนโล่งๆ เพราะเครื่องยนต์ทำงานตลอดถึงแม้รถไม่เคลื่อนที่ เพราะฉะนั้นถ้าต้องประสบกับการจราจรที่แสนสาหัสล่ะก็   ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องให้เร็วขึ้นอีกนิดก็จะเป็นการดีกว่า หรือในทางกลับกัน ในกรณีที่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องก็ทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็วกว่าด้วยเช่นกันค่ะ

ถ้าเป็นรถยนต์นั่งที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ส่วนใหญ่ผู้ผลิตน้ำมันเครื่องจะระบุให้เปลี่ยนถ่ายตามเกรดและประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่อง หรือถ้าเป็นรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกๆ ปี แต่ถ้าเป็นผู้ผลิตรถ จะระบุให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 8,000-10,000 กม. หรือทุกๆ 6 เดือน (สำหรับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์) แล้วแต่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าถ้าต้องการการปกป้องสูงสุด ก็ต้องเปลี่ยนกันทุกๆ 5,000 กม. หรือ 3 เดือนนั่นแหละค่ะ พูดง่ายๆ ว่าเปลี่ยนยิ่งบ่อยก็ยิ่งยืดอายุของเครื่องนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็จะหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง
     
ในกรณีที่เป็นรถจอดมากกว่าวิ่ง อย่างน้อยๆ ก็ควรที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆ 6 เดือน เพราะทุกครั้งที่เครื่องยนต์ทำงาน ภายในเครื่องยนต์จะมีคราบเขม่าและความชื้นจากการเผาไหม้ตกค้างอยู่นั่นเอง  และความชื้นกับชิ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นโลหะนั้นก็ไม่ค่อยจะถูกกันซะด้วยซิครับ ถึงจะจอดนิ่งๆ ก็เลี่ยงเรื่องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันไม่ได้เหมือนกัน
     
การเปลี่ยนถ่านน้ำมันเครื่องบ่อยๆจะทำให้เครื่องยนต์ได้น้ำมันที่ใหม่อยู่เสมอ แต่ถ้าไม่มีเวลามากนักที่ต้องคอยเข้าศูนย์บริการเพียงเพื่อเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเท่านั้น ก็ให้เลือกใช้น้ำมันเครื่องประเภทสังเคราะห์ ( Synthetic Oil ) ที่มีอายุการใช้งานที่ยาวกว่าน้ำมันเครื่องที่ได้จากปิโตรเลียม Mineral Oil แต่ก็ราคาที่สูงกว่ามาก ก็ลองเลือกกันดูคะว่าจะใช้แบบไหน แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง

การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง ถ้าเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่องใหม่แล้วเติมน้ำมันเครื่องให้พอดีกับระดับที่กำหนดไว้บนก้านวัดน้ำมันเครื่อง ( ส่วนใหญ่จะมีตัวอักษร H กำกับอยู่ ) เมื่อติดเครื่องแล้ววัดน้ำมันเครื่องจะต่ำกว่าขีด H เล็กน้อย เพราะน้ำมันเครื่องถูกปั้มเข้าไปอยู่ในกรองน้ำมันเครื่อง ก็ต้อง เติมเข้าไปใหม่จนพอดีขีด H และไม่ควรวัดระดับน้ำมันเครื่องหลังจากดับเครื่องยนต์ทันทีเพราะต้องรอให้น้ำมันเครื่องไหลลงมารวมกันที่อ่างน้ำมันเครื่องให้หมดเสียก่อนแล้วจึงวัด จะได้ระดับน้ำมันเครื่องที่แน่นอน น้ำมันเครื่องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเครื่องยนต์มันทั้งช่วยหล่อลื่น ระบายความร้อน และทำความสะอาดชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้นหมั่นดูแลให้ความสำคัญกับมันบ้าง เพราะมันช่วยยืดอายุของเครื่องยนต์เครื่องยนต์และยังช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกด้วย

เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้คำนึงถึงรายละเอียดดังกล่าว เพื่อนำไปพิจารณาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และอีกอย่างให้สอบถามจากเจ้าหน้าที่บริการก็จะดีมาก เครื่องยนต์ปัจจุบันนั้นน้ำมันเครื่องที่ควรเลือกใช้จะต้องใช้ให้ถูกชนิดและประเภท จึงส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
หน้าที่ของน้ำมันเครื่อง
น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ (อังกฤษmotor oil, engine oil) หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า น้ำมันหล่อลื่น หรือ น้ำมันเครื่อง เปรียบเสมือนหัวใจของรถยนต์ คือ เป็นเสมือนผู้ทำนุบำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งระบบ น้ำมันเครื่องประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญคือ น้ำมันพื้นฐาน และสารเพิ่มคุณภาพ  มีหน้าที่หล่อลื่นลดแรงเสียดทาน ระบายความร้อน ชะล้างสิ่งสกปรกและช่วยในการป้องกันการสึกหรอให้กับชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ในขณะที่เผาไหม้เสียดสีกัน  อีกทั้งยังทำหน้าที่ไม่ให้แรงดันในกระบอกสูบเล็ดลอดออกมาอีกด้วย
 หน้าที่ของน้ำมันเครื่อง
 หน้าที่ของน้ำมันเครื่อง

หน้าที่โดยทั่วไปของน้ำมันเครื่องที่ดีมีดังนี้
1.  ให้การหล่อลื่นและผนึกแหวนสูบเพื่อป้องกันกำลังอัดรั่ว
โดนน้ำมันหล่อลื่นจะเคลือบชิ้นส่วนโลหะในเครื่องยนต์ในลักษณะเป็นฟิล์มเคลือบอยู่ที่ผิวโลหะเพื่อช่วยลดการสัมผัสกันโดยตรงของชิ้นส่วนโลหะ โดยความหนาของฟิล์มนั้นขึ้นอยู่กับความหนืดของน้ำมันเครื่อง คุณสมบัตินี้ได้จาก การเลือกใช้ความหนืดที่เหมาะสมและดัชนีความหนืดสูงที่มีอยู่ในน้ำมัน หล่อลื่นพื้นฐานอยู่แล้ว ถ้าต้องการให้มีดัชนีความหนืดสูงขึ้นไปอีกในการทำเป็นน้ำมัน เครื่อง เกรดรวม ก็ต้องผสมด้วยสารเพิ่มดัชนีความหนืด (VI Improver)
2.  การระบายความร้อน
ในช่วงที่เครื่องยนต์กำลังทำงานนั้นจะเกิดความร้อนขึ้นบริเวณ รอบๆฝาสูบ รอบๆกระบอกสูบ ลูกสูบ ข้อเหวี่ยงและ ชิ้นส่วนภายในต่างๆ ปั๊มน้ำมันเครื่องจะส่งน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ เมื่อน้ำมันเครื่องไหลกลับก็จะพาเอาความร้อนกลับลงไปสู่อ่างน้ำมันเครื่องด้วย จึงเป็นการระบายความร้อนให้ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์อีกทางหนึ่ง เนื่องจากความต้องการน้ำมันที่ทนความร้อนได้สูงโดยไม่เสื่อมสลายเร็ว แม้ว่าน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมีคุณสมบัติต้านทานการรวมตัวกับออกซิเจนสูงอยู่แล้ว แต่เพื่อให้น้ำมันมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นไปอีก จึงผสมด้วยสารเพิ่มคุณภาพต้านทานการรวมตัวกับออกซิเจน (Oxidation Inhibitor) เพิ่มเข้าไปอีก
3.  ลดการสึกหรอ
คุณสมบัตินี้มีอยู่ในตัวน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ในสภาพการทำงานของเครื่องยนต์ที่มีอุณหภูมิสูงและรับภาระการใช้งานที่รุนแรง (Extreme Load) ฟิล์มบางๆ ของน้ำมันหล่อ ลื่นอาจไม่พอ เป็นผลให้เกิดการสึกหรอขึ้น สารเพิ่มคุณภาพประเภท ต้านทานการสึกหรอ (Antiwear Agent) จะช่วยลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ในสภาพการใช้งานที่รุนแรงได้
4.  รักษาความสะอาดภายในเครื่องยนต์
น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานไม่มีคุณสมบัติในข้อนี้ จึงต้องผสมด้วยสารชะล้างทำความสะอาด (Detergent) และสารช่วยกระจายเขม่าตะกอน (Dispersant) เพื่อขจัดคราบเขม่าคาร์บอนออกจากผิวโลหะและกระจายเขม่าตะกอนให้แขวนลอยอยู่ในน้ำมัน โดยไม่ตกตะกอนและจับตัวเป็นก้อน เป็นการชะล้างสิ่งสกปรกมากระจายตัวอยู่ในเนื้อน้ำมัน และจะถูกถ่ายออกเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องที่มีมาตรฐานสูง ปริมาณสารชะล้างทำความสะอาดและกระจายเขม่าตะกอนก็ยิ่งมีมากขึ้น
5.  ป้องกันสนิมและการกัดกร่อน
สารเพิ่มคุณภาพประเภทป้องกันสนิม (Rust Inhibitor) ให้คุณสมบัติในการยึดเกาะติดผิวโลหะทำให้น้ำหรือความชื้นไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปถึงพื้นผิวได้ สารเพิ่มคุณภาพประเภทต้านทานการกัดกร่อน (Corrosion Inhibitor) ทำให้น้ำมันเครื่องมีความเป็นด่าง เพื่อสะเทินกรดที่เกิดขึ้นจากการสันดาปภายในเครื่องยนต์ให้กลายเป็นกลาง เพื่อป้องกันการกัดกร่อนผิวโลหะ

เครื่องยนต์ต้องพึ่งพาน้ำมันเครื่องในการหล่อลื่นหากไม่สามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ได้  เครื่องก็คงจะต้องพังในไม่ช้า  ดังนั้นผู้ใช้รถจึงควรพิจารณาถึงเกรดและมาตรฐานของน้ำมันเครื่อง  รวมทั้งหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอตามระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนดด้วย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :

เมื่อไรจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

วิธีเช่ารถเที่ยวอย่างปลอดภัย

เมื่อมีวันหยุดยาวหลายวันคุณคงอยากพาครอบไปเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งบางครั้งคุณก็มีความต้องการรถสักคันเพื่อเป็นพาหนะในการเดินทาง เมื่อคุณวางแผนที่จะเดินทางด้วยรถเช่า เราจึงมีวิธีเช่ารถเที่ยวอย่างปลอดภัยให้สำหรับคุณ 

วิธีเช่ารถเที่ยวอย่างปลอดภัย
วิธีเช่ารถเที่ยวอย่างปลอดภัย


วิธีเช่ารถเที่ยวอย่างปลอดภัย

วางแผนก่อนการเดินทางและเลือกเช่ารถจากผู้ให้บริการเช่ารถที่น่าเชื่อถือ หากเช่ารถขับเองก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ขับต้องมีความรู้เรื่องการตรวจเช็คสภาพรถยนต์เบื้องต้น สุขภาพแข็งแรงและศึกษาเส้นทางล่วงหน้า แต่ถ้าหากเช่ารถพร้อมคนขับ ผู้ขับต้องมีประสบการณ์และชำนาญเส้นทางที่เรากำลังจะเดินทางไป รวมถึงรถเช่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุและไม่ต้องมาสูญเสียเวลานั่งรอเปลี่ยนรถใหม่
ก่อนออกเดินทางควรศึกษาเส้นทางและวางแผนการเดินทางล่วงหน้า โดยเลือกเส้นทางที่ปลอดภัย ถึงแม้คุณจะเช่ารถพร้อมคนขับหรือเช่ารถขับเอง การศึกษาเส้นทางก่อนก็เป็นเรื่องจำเป็นเพราะนอกจากจะทำให้คุณไม่หลงทางก็ยังช่วยให้เพิ่มสีสันของประสบการณ์การเดินทางในครั้งนี้ด้วยการแบ่งเวลาแวะเที่ยว ณ สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงในเส้นทางที่เราต้องเดินทางผ่าน ถึงเวลาเที่ยวก็ต้องให้คุ้ม จะได้มาไม่เสียเที่ยว เเต่คุณต้องเผื่อเวลาในการเดินทางถึงจุดหมายให้เพียงพอ กรณีที่คุณเช่ารถพร้อมคนขับ จะได้ไม่ต้องเร่งพนักงานให้ขับรถเร็ว เพื่อทำเวลา รวมทั้งควรวางแผนออกเดินทางในช่วงเวลากลางวันจะปลอดภัยมากกว่าช่วงกลางคืน และช่วยป้องกันพนักงานขับรถมิให้มีอาการหลับในขณะขับรถ 

ตรวจสอบพฤติกรรมของพนักงานขับรถ  พนักงานขับรถที่ดีต้องมีวินัย ร่างกายพร้อมและมีประสบการณ์ขับรถในเส้นทางที่คุณจะไปเพราะบ่อยครั้งที่อุบัติเหตุเกิดจากความไม่ชำนาญเส้นทางของคนขับ หากต้องเดินทางระยะไกลกว่า 400 กิโลเมตรควรมีคนขับสำรอง หรือมีการพักผ่อนระหว่างเดินทางเป็นระยะ พนักงานขับรถควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันการหลับในที่จะเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งในช่วงก่อนและระหว่างการเดินทาง 

ตรวจสอบสภาพรถก่อนเดินทาง ระบบเบรก คลัทซ์ สภาพยางรถยนต์ ระบบบังคับเลี้ยว ไฟส่องสว่างหน้าหลัง ไฟเลี้ยว ไฟฉุกเฉิน และระบบควบคุมไฟฟ้า โดยเฉพาะการขับรถในเส้นทางลาดชันและระยะทางไกล ตลอดจนตรวจสอบและติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยประจำรถ เช่น ถังดับเพลิงเคมีแบบมือถือ ค้อนทุบกระจกและประตูฉุกเฉิน ให้สามารถใช้งานได้ดี ซึ่งเจ้าของรถเช่าควรนำรถไปตรวจสอบสภาพให้พร้อมก่อนใช้งาน เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนนอยู่บ่อยครั้ง          

ช่วงเวลาของการเดินทาง ทั้งผู้เช่ารถขับเองและเช่ารถพร้อมคนขับควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่ขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่ตัดหน้ารถคันอื่นแบบกระชั้นชิดหรือแซงโดยไม่ให้สัญญานเพราะจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ หากพบว่าพนักงานขับรถเหยียบเบรกบ่อย ๆ นั่งนิ่งนาน ๆ หรือมีอาการหาวบ่อย ควรสั่งให้หยุดจอดพักรถในบริเวณที่ปลอดภัย  เพื่อพักผ่อนหรือเปลี่ยนให้ผู้อื่นขับแทน  การหมั่นสังเกตุอากับกิริยาของคนขับรถ ชวนพูดคุยอย่างเป็นกันเองก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้คุณถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
สุดท้ายนี้ หวังว่าวิธีเช่ารถเที่ยวอย่างปลอดภัยจะทำให้การเดินทางของคุณสนุกไร้ความกังวลนะคะ